IoT คืออะไร? ความหมายและประโยชน์ที่ควรรู้ในยุคดิจิทัล

12 พ.ย. 2567

IoT คืออะไร? ความหมายและประโยชน์ที่ควรรู้ในยุคดิจิทัล
IoT คืออะไร? ความหมายและประโยชน์ที่ควรรู้ในยุคดิจิทัล
IoT คืออะไร? ความหมายและประโยชน์ที่ควรรู้ในยุคดิจิทัล

ระบบ IoT หรือ (Internet of Things) ถูกนำมาใช้กันอย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาระบบ Smart Factory โดยใช้ประโยชน์จากความสามารถของเทคโนโลยีเพื่อช่วยเพิ่มกำลังการผลิตให้กับโรงงาน การผสาน IoT เข้ากับระบบแผงโซล่าเซลล์ ระบบรักษาความปลอดภัย และระบบอาคารสีเขียวเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน

บทความนี้จะพาทุกท่านไปรู้จักกับระบบ IoT กันให้มากขึ้นว่ามีการทำงานอย่างไร และมีประโยชน์มากน้อยแค่ไหนในยุคดิจิทัล พร้อมตัวอย่างของภาคธุรกิจที่นำระบบ IoT ไปปรับใช้ เพื่อฉายภาพความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่จะเข้ามายกระดับประสิทธิภาพการทำงานที่ไม่ควรมองข้ามอย่างยิ่ง

 IoT (Internet of Things) คืออะไร?

IoT (Internet of Things) คืออะไร?

IoT หรือ Internet of Things หมายถึง เครือข่ายของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่สามารถเชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันผ่านอินเทอร์เน็ต มีตั้งแต่อุปกรณ์ในบ้านที่พบเห็นได้ทั่วไป ไปจนถึงครื่องมืออุตสาหกรรมที่มีการทำงานอย่างซับซ้อน และ IoT ได้กลายมาเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่สำคัญที่สุดในยุคนี้ ซึ่งความก้าวหน้าของเทคโนโลยีได้ช่วยเพิ่มความสามารถในการเชื่อมต่อสิ่งของในชีวิตประจำวันเข้ากับอินเทอร์เน็ตให้ทำงานร่วมกันได้แบบอัตโนมัติ

ตัวอย่างของเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังระบบ IoT ซึ่งช่วยทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ สามารถทำงานเชื่อมต่อกันได้อย่างอัจฉริยะ

  • เซนเซอร์ (Sensor) - อุปกรณ์ที่สามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม เช่น อุณหภูมิ ความชื้น แสง การเคลื่อนไหว หรือแรงดัน

  • การเชื่อมต่อ (Connectivity) - การใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อข้อมูลจากเซนเซอร์ไปยังคลาวด์ ซึ่งอุปกรณ์ IoT จะต้องเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต ตัวอย่างเทคโนโลยีเชื่อมต่อใน IoT เช่น WiFi, Bluetooth และ Cellular

  • คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud computing) - พื้นที่สำหรับจัดเก็บ ประมวลผล และวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลที่สร้างขึ้นโดยอุปกรณ์ IoT

  • การวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big data analytics) - ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องใช้เครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อนำข้อมูลจำนวนมากที่มาจากอุปกรณ์ IoT ไปใช้ประโยชน์

  • เทคโนโลยีความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว - เทคโนโลยีต่างๆ เช่น การเข้ารหัส (Encryption) ระบบควบคุมการเข้าถึงและระบบตรวจจับการบุกรุกได้ถูกนำมาใช้เพื่อความปกป้องความปลอดภัยของอุปกรณ์ IoT และข้อมูลที่สร้างขึ้นจากภัยคุกคามทางไซเบอร์

ปัจจุบันระบบ IoT ถูกพูดถึงอย่างแพร่หลายมากขึ้นโดยสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่อุตสาหกรรมการผลิต การขนส่ง การดูแลสุขภาพ การบริการ ไปจนถึงการเกษตร และมีแนวโน้มที่ IoT จะมีบทบาทสำคัญมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของจำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในปัจจุบันที่กำลังเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

โดยเฉพาะในภาคธุรกิจซึ่งอุปกรณ์ IoT ได้ถูกนำมาใช้ในการเก็บข้อมูลต่าง ๆ โดยมีให้เห็นตั้งแต่การใช้อุปกรณ์ IoT เพื่อติดตามการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น คุณภาพอากาศ การใช้พลังงาน และประสิทธิภาพของเครื่องจักร และสามารถนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ได้แบบเรียลไทม์ซึ่งจะช่วยให้ภาคธุรกิจปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้อย่างตรงจุด

ประโยชน์ของ IoT มีอะไรบ้าง

ประโยชน์ของ IoT มีอะไรบ้าง

ในยุคดิจิทัลที่โลกเทคโนโลยีขับเคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว การเกิดขึ้นของ IoT ได้เข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงวีถีชีวิตและการทำงานของคนในปัจจุบัน ต่อไปนี้คือตัวอย่างประโยชน์ของ IoT ที่ได้เข้ามายกระดับการทำงานในยุคดิจิทัลให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น

1.ลดค่าใช้จ่าย

ประโยชน์ของ IoT ข้อแรก คือการเข้ามาช่วยให้ธุรกิจสามารถลดต้นทุนการทำงานและเพิ่มความสามารถในการทำกำไร ด้วยการลดงานที่ต้องใช้กำลังคน ทั้งยังสามารถนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในงานที่ต้องทำซ้ำ ๆ รวมไปถึงลดต้นทุนในด้านพลังงานและช่วยปูทางสู่ความยั่งยืนขององค์กร

นอกจากนี้ เครือข่ายขนาดใหญ่ของอุปกรณ์ IoT ยังสามารถใช้ติดตามการทำงานของระบบต่าง ๆ ในองค์กรและช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมาก ยกตัวอย่างให้เห็นภาพเช่น บริษัท A สามารถใช้อุปกรณ์ IoT ติดตามความต้องการในการใช้ความร้อนของทั้งโรงงานผ่านเซนเซอร์อัจฉริยะ จากนั้นก็ควบคุมระบบโดยใช้ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ที่จะให้ความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการอย่างแม่นยำและช่วยลดต้นทุนลงได้อย่างมีนัยสำคัญ

2.มี Data ที่สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้

เทคโนโลยี IoT ที่เชื่อมต่อกันและทำงานได้อย่างอัตโนมัติจะช่วยให้องค์กรสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้มากขึ้นและมีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย ตัวอย่างเช่น การเก็บข้อมูลของธุรกิจค้าปลีกในอดีต จำเป็นจะต้องจ้างพนักงานเพื่อจับตาความเคลื่อนไหวของลูกค้าและสังเกตการปฏิสัมพันธ์กับสินค้าและการจัดวาง แต่ปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกสามารถสังเกตพฤติกรรมของลูกค้าแบบเรียลไทม์และประหยัดต้นทุนในการจ้างคนผ่านการใช้เซนเซอร์เพื่อเก็บข้อมูล

ไม่เพียงเท่านั้น ธุรกิจต่าง ๆ ยังจะได้รับข้อมูลความเคลื่อนไหวของสินค้าได้อย่างละเอียดว่าใครเป็นผู้ซื้อ หรือสินค้าอยู่ที่จุดไหน และในแต่ละจุดของห่วงโซ่อุปทานมีความต้องการสินค้ามากน้อยเพียงใด ขณะเดียวกันเจ้าของธุรกิจก็สามารถติดตามการทำงานของพนักงานและเครื่องจักรพร้อมหาวิธีอุดรอยรั่วผ่านข้อมูลทั้งหมดมีซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจ

3.ลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น

ธุรกิจสามารถเพิ่มประสิทธิภาพและเพิ่มผลผลิตในการดำเนินงานได้ด้วยการใช้อุปกรณ์ IoT เพื่อทำให้กระบวนการทำงานเป็นไปอย่างอัตโนมัติ ตัวอย่างเช่นการใช้เซนเซอร์ IoT เพื่อเช็กประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องจักร และตรวจจับหรือแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ก่อนเกิดความขัดข้อง

ความสามารถของอุปกรณ์ IoT จะช่วยลดการสูญเสียทรัพยากรและคาดการณ์ความเสียหายได้ล่วงหน้าให้กับธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การตรวจสอบแบบเรียลไทม์ และการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

4.ยกระดับความปลอดภัย

ความปลอดภัยของพนักงานถือเป็นข้อกังวลหลักในอุตสาหกรรมส่วนใหญ่ นายจ้างต้องหาแนวทางให้พนักงานทำงานอย่างมีความสุขและมีความเป็นอยู่ที่ดี และที่สำคัญต้องสร้างหลักประกันว่าอุบัติเหตุ ความเสียหายหรือการหยุดการทำงานจากเหตุการณ์ไม่คาดคิดต่าง ๆ จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบร้ายแรง

จุดนี้เองที่อุปกรณ์ IoT ได้เข้ามามีบทบาทในการยกระดับความปลอดภัยตั้งแต่ การใช้เซนเซอร์ติดตามการทำงานของอุปกรณ์หรือเครื่องจักรและสามารถแจ้งเตือนพนักงานให้ทราบถึงอันตรายและหยุดการทำงานของเครื่องจักรและกระบวนการต่างๆ ได้ก่อนที่เหตุการณ์ร้ายแรงจะเกิดขึ้น 

5.ยกระดับการสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้า

การใช้เทคโนโลยี IoT เพื่อรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ความต้องการสินค้า ไปจนถึงวิธีการส่งมอบสินค้าจะช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลและตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น

ลองจินตนาการภาพของลูกค้าที่เข้าไปใช้บริการร้านค้าและได้รับคูปองสำหรับการซื้อครั้งต่อไปผ่านทางข้อความในทันที หรือธุรกิจค้าปลีกที่ใช้เซนเซอร์เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของลูกค้าและมอบข้อเสนอที่ปรับตรงตามพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจต่าง ๆ ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าได้

6.วิเคราะห์ข้อมูลได้แม่นยำ

IoT ได้เข้ามาช่วยในการเก็บรวมรวมข้อมูลซึ่งจะเป็นประโยชน์กับธุรกิจ เพราะยิ่งธุรกิจรวบรวมข้อมูลได้มากเท่าไรการตัดสินใจในการดำเนินงานก็จะมีประสิทธิภาพ แม่นยำ และเหมาะสมมากขึ้นตามด้วยเช่นกัน และที่สำคัญคือการมีข้อมูลที่แม่นยำจะช่วยให้การตัดสินใจเป็นไปได้ดีขึ้น

แม้แต่ในภาคการเกษตรก็สามารถได้รับประโยชน์จากการใช้ IoT เพื่อติดตามผลผลิต ปรับปรุงทรัพยากร พัฒนาด้านการปศุสัตว์ และวางระบบอัตโนมัติ และทำให้เข้าถึงข้อมูลที่ช่วยระบุความต้องการผลผลิตได้อย่างแม่นยำ ซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่กระทบกับการคาดการณ์ในภาคการเกษตรทั่วโลก

ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ระบบ Iot

ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ระบบ Iot

จากตัวอย่างทั้งหมดที่ถูกยกมาในข้างต้นคงจะพอทำให้เห็นภาพแล้วว่า IoT ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในภาคธุรกิจมากขนาดไหน เพราะธุรกิจ IoT ที่มีการนำอุปกรณ์ IoT มาใช้จะช่วยให้สามารถปรับปรุงการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดความแม่นยำมากขึ้น ในปัจจุบันหลายธุรกิจได้หันมาพึ่งพาระบบ IoT เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในยุคดิจิทัล

ด้านขนส่ง

ตัวอย่างธุรกิจที่ใช้ระบบ IoT ที่เด่นชัดในด้านขนส่งนั่นก็คือ Amazon บริษัทเทคโนโลยีระดับโลกที่ครองตลาดค้าปลีกออนไลน์ด้วยรายได้จากขายสินค้าผ่านทางเว็บไซต์ในปี 2023 ที่มีมูลค่ามากถึง 1.4 แสนล้านบาท 

แน่นอนว่าสินค้าจำนวนมหาศาลของ Amazon ได้ถูกส่งออกไปในทั่วโลก ซึ่ง Amazon ในฐานะบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำก็ได้ใช้ประโยชน์จาก IoT เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งสินค้าจำนวนมหาศาลและมอบประสบการณ์การชอปออนไลน์ให้กับลูกค้าในทั่วโลก

โดย Amazon ได้ใช้เทคโนโลยี IoT ในการติดตามตำแหน่งของสินค้าที่กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการขนส่ง ซึ่งจะทำให้สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เอื้อให้บริษัทเห็นถึงปัญหาในซัพพลายเชนได้ชัดเจนขึ้น หรือในกรณีที่เกิดข้อขัดข้องระหว่างการขนส่ง ข้อมูลดังกล่าวยังช่วยให้บริษัทสามารถแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างตรงจุด

หรือในบางกรณีที่สินค้ามีความเปราะบางและอาจเกิดความเสียหายจากการขนส่งก็ได้มีการนำระบบ IoT เข้ามาช่วยรายงานข้อมูลสภาพแวดล้อม ผ่านการตรวจสอบอุณหภูมิตลอดกระบวนการขนส่งเพื่อป้องกันความเสียหายของสินค้าจากการการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ และทำการแจ้งเตือนเมื่อคุณภาพสินค้าเกิดความเสียหาย พร้อมใช้ระบบ IoT ติดตามตำแหน่งของรถขนส่งให้พร้อมรับมือปัญหาได้ทันที ทั้งยังสามารถนำข้อมูลที่ได้มาไปใช้วางแผนการบำรุงรักษารถขนส่งและวางแผนการจัดการต้นทุนด้านพลังงานได้ด้วยเช่นกัน

ด้านสิ่งแวดล้อม

นอกจากประโยชน์ที่เกิดขึ้นในภาคธุรกิจแล้ว เทคโนโลยี IoT ได้ถูกนำมาใช้ในการรวบรวมข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ข้อมูลคุณภาพอากาศ การเปลี่ยงแปลงของอุณหภูมิ ระดับความชื้น คุณภาพของดิน และปริมาณน้ำ จากนั้นจึงนำข้อมูลที่ได้ไปวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกอาคารได้ดีขึ้น รวมถึงนำมาประกอบการตัดสินใจเกี่ยวกับวิธีลดผลกระทบจากสภาพแวดล้อมโดยรอบที่อาจสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจ 

บริษัทต่าง ๆ ก็สามารถใช้ข้อมูลที่ได้เพื่อวางแนวทางในการรักษาสิ่งแวดล้อมให้ยั่งยืนขึ้นได้ เพราะระบบ IoT สามารถใช้ตรวจจับปัญหาในสิ่งแวดล้อมที่ส่วนใหญ่มักถูกละเลย และช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินการเพื่อผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อมและปกป้องประโยชน์ของส่วนรวม ตลอดจนปฏิบัติตามมาตรฐานและนโยบายด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อม หรือเลือกใช้ Green Technology ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะเดียวกันเทคโนโลยี IoT ได้ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อเก็บข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อม 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ ดิน น้ำ และอากาศ โดยเป็นประโยชน์ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท ตั้งแต่ภาคเกษตรกรรมและป่าไม้ ไปจนถึงการวางแผนเมือง หรือการผลิตและการจ่ายพลังงาน โดยในภาคเกษตรกรรมระบบ IoT ถูกนำมาใช้เพื่อตรวจสอบผลผลิต คุณภาพดิน คุณภาพน้ำ และสภาพอากาศ เพื่อวางแผนในการจัดการศัตรูพืช การใส่ปุ๋ย และการจัดการที่ดิน เป็นต้น

ในภาคพลังงานระบบ IoT ถูกนำมาใช้ตรวจสอบการปล่อยมลพิษ คุณภาพอากาศ และสภาพอากาศที่เอื้อให้ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถตรวจสอบและดำเนินการเพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่อสิ่งแวดล้อมได้ ขณะเดียวกันระบบ IoT ก็เป็นประโยชน์ต่อการวางผังเมืองเพื่อระบุความแออัดของการจราจรหรือระดับมลพิษทางอากาศ และนำไปใช้ประกอบการวางแผนเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาเมืองที่เกิดขึ้นในอนาคต

คุณเห็นถึงประโยชน์เเล้วรึยัง

นอกจากประโยชน์ของการใช้งานระบบ IoT ที่เกิดขึ้นกับหลายอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ในอนาคตระบบ IoT จะทวีความสำคัญมากยิ่งขึ้น โดยจะเข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตของผู้คนในโลก ทั้งเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เป็นอัตโนมัติมากขึ้น ช่วยลดภาระงานของแต่ละคน ไปจนถึงการเข้ามาของเทคโลยีเพื่อปรับปรุงวิถีชีวิตที่สามารถคาดการณ์ได้มากกว่าเดิม พร้อมยกระดับการใช้ชีวิตของมนุษย์ให้สะดวกสบายได้มากกว่าที่เคย

ท้ายที่สุดเทคโนโลยีก็คือปัจจัยสำคัญที่จะทำให้โลกของเราก้าวหน้าไปอีกขั้น และจะดีแค่ไหนหากรู้เท่าทันและใช้ประโยชน์จากความก้าวล้ำทางเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ การเรียนรู้และทำความเข้าใจเกี่ยวกับ IoT จะเป็นประตูสู่โอกาสใหม่ ๆ ในโลกยุคดิจิทัลที่โอกาสจะกลายเป็นของผู้ที่มีความพร้อมและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้มากที่สุด

บทความที่น่าสนใจ